เคยสัญญากับคุณ M2M ไว้ว่าจะช่วยตอบปัญหาเรื่องการเรียนในอเมริกา เพิ่งจะได้ฤกษ์น่ะค่ะ ขอโทษที เอาเป็นว่าขอเริ่มเลยนะคะ ตอนนั้กลับมาพิมพ์ไทยได้แล้วค่ะ
อเมริกาเนี่ยเป็นประเทศใหญ่มี 50 รัฐ และมีสถานศึกษาอยู่มากมาย น้องๆที่สนใจมาเรียนต่อที่นี่ต้องทำการบ้านในการหาข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจมาเรียนนะคะ เตรียมตัวให้ดี ให้พร้อมให้มากที่สุด เพราะการเรียนที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองไทย อีกอย่างค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นการเตรียมพร้อมสำคัญมาก และจะได้ป้องกัน Culture Shock ไปด้วยในตัวจากการที่น้องได้เตรียมตัวหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี
ทำไมถึงต้องมาเรียนประเทศสหรัฐอเมริกา?
อืมนั่นซิ อันนี้พี่ขอพูดจากประสบการณ์โดยตรงว่ามาเรียนอเมริกาแล้วพี่ได้อะไรมาเยอะ เรื่องมุมมองต่างๆ การเรียนที่พี่สามารถให้เหตุผลจากการค้นคว้าเพิ่มเติมที่นอกเหนือไปจากหนังสือเรียน การแสดงออกทางความคิดเห็น ทำให้เราได้เก็บข้อมูลของความเห็นคนอื่นด้วย มีความอิสระทางความคิด พี่รู้สึกว่าความรู้ไม่ได้มาจากแค่อาจารย์ผู้สอน แต่มาจากองค์ความรู้จากสิ่งรอบตัวทั้งหมด การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่พี่เคยไปเรียนที่อังกฤษ ตอน ม. 3 ช่วงปิดเทอมตอนอยู่ราชืนี กับตอนไปเรียนที่ฝรั่งเศสตอน ม. 4 ช่วงปิดเทอมตอนิยู่เตรียมอุดม พี่ชอบอเมริกามากกว่า จำได้ว่าตอนอยู่อังกฤษ อะไรๆก็ค่อนข้างน่าเบื่อ ตอนนี้ที่บ้านส่งไปเรียนอังกฤษช่วงปิดเทอม เพราะอยากให้เก่งภาษาอังกฤษ ก็เรียนทั้งวัน ทุกวัน จันทร์ ถึง ศุกร์ เสาร์ก็โฮสแฟมมิลี่พาไปเที่ยว วันอาทิตย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปไหน เพราะวันอาทืตย์ห้างปิด เป็นอย่างนี้อยู่ 3 เดือน ฝนตกเกือบทุกวันไม่ชอบเลย เหงามากด้วย ตอนนี้บ้านโฮสแฟมมิลี่อยู่ที่ Windsor ซึ่งก็เป็นเมืองเงียบๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำนอกจากจะไปดูวัง Windsor หรือไปเดิน Downtown ที่ Windsor บางทีพี่ก็จะขึนรถไฟไปเที่ยวที่ London วันอาทิตย์ ซึ่งก็สนุกดีในตอนนั้น
คราวนี้มาเปรียบกับฝรั่งเศส อืม มันก็สนุกไปอีกแบบ แต่รู้สึกว่าคนที่นั่นไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าไหร่ อาจจะเพราะตอนนั้นภาษาฝรั่งเศสยังพูดไม่ค่อยได้เรื่องเพราะเพิ่งเริ่มเรียนเอง ที่บ้านก็ส่งไปฝรั่งเศสอีกกะเอาให้เก่ง แต่ก็พอได้แค่สื่อสารเข้าใจกิจกรรมง่ายๆ ไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้น ตอนอยู่ฝรั่งเศสไปอยู่เมือง Lille ตอนเหนือของฝรั่งเศส ก็เรียนตลอดเหมือนกัน นานๆทีจะเข้าไป Paris ที ก็ยอมรับว่าเมืองสวยมีประวัติศาสตร์เยอะ
พอก่อนพี่จะจบธรรมศาสตร์ ก็มานั่งคิด อืมจะเรียนต่อที่ไหนดี อังกฤษไปมาแล้ว ฝรั่งเศสไปมาแล้ว เหลืออเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยังไม่เคยไป พี่เลยเตรียมหาข้อมูลว่าจะไปเรียนที่ไหนดี จะสอบ Toefl ก่อนจากเมืองไทยหรือไปตายเอาดาบหน้า ก็เลยเริ่มวางแผนการเรียนกับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะเอาไงดี เพราะค่าใช้จ่ายก็แพงน่าดู ตอนแรกว่าจะไปออสเตรเลียก็ไปหาข้อมูลจากสถานฑูตออสเตรเลีย แต่ไม่ชอบ accent ประเทศนี้รู้สึกว่าฟังยาก นิวซีแลนด์ก็พอกัน เลยตัดสินใจไปเรียนอเมริกา ถึงจะแพงกว่าแต่รู้สึกว่าโอกาสต่างๆน่าจะมีมากกว่า ก็ที่บ้านเลยส่งไปเรียนภาษาก่อนที่ University of Missouri-Rolla เมืองกันดาลมากค่ะ แต่ก็ดีที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าที่เมืองใหญ่ๆ เรียนภาษาที่นี่อยู่ได้ 4 เดือน ก็งอแงกลับเมืองไทยเพราะมันเบื่อมาก แต่ภาษาที่ได้กลับมาแจ๋วมากเพราะเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรเลย พอกลับมาเมืองไทยไม่นานก็เริ่มสมัครหาที่เรียนที่รัฐอื่น แล้วพอดีอยากเรียนที่ Rutgers University in New Jersey เพราะว่ามีลูกพี่ลูกน้องจบจากที่นี่แล้วได้งานดีเลยอยากเจริญรอยตาม พี่เลยสมัครเข้าไปเรียนภาษาอีกทีที่ Rutgers เรียนอยู่ 3 เดือนก็สอบ Toefl สอบรอบแรกได้ 530 แย่มากเพราะ Rutgers เอา 600 for business school and 550 for GMAT สอบ Toefl รอบสองได้ 550 สอบรอบสามได้ 580 ตอนน้นเซ็งมากเพราะไม่ได้ 600 ซะที I-20 โรงเรียนภาษาใกล้หมดแล้วด้วย เลยตัดสินใจไปเรียนที่ Fairleigh Dickinson University เลย Master of Public Administration ตอนนั้นเลือกเรียนสาขานี้เพราะอยากกลับไปทำงานกระทรวงการต่างประเทศที่เมืองไทย หรือไม่ก็ UN เพราะเคยฝึกงานที่นั่น ช่วงที่เรียนโท ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนตัวลงอีก สงสารพ่อแม่มากเลยพยายามหางานทำที่มหาวิทยาลัย แล้วก็โชคดีได้งานทำเป็น Graduate Assistant at Office of Residence Life มหาวิทยาลัยจ่ายค่าเรียนให้ทั้งหมดในปีที่สอง และให้ที่พักฟรี และอาหารก็ฟรี แถมได้เงินเดือนด้วย คุณพ่อคุณแม่เลยไม่ต้องส่งค่าเรียนให้ ประหยัดไปหลายล้านบาทอยู่ พอเรียนจบก็อยากเรียนโทอีกใบคราวนี้เลยไปสมัครอีกทีที่ Rutgers University แล้วก็ได้ MBA มาอีกใบ ตอนที่เรียนโทอีกใบตอนนี้ทำงานร้านอาหารไทยไปด้วย ทำงานหกวันต่ออาทิตย์ได้เงินมา 2000 เหรียญต่อเดือนก็เอามาจ่ายค่าเช่าบ้านและอื่นๆที่จำเป็น พอจบก็กลับเมืองไทยค่ะ
เหตุผลด้านล่างนี้คือสิ่งที่พี่เห็นว่าทำไมการเรียนที่อเมรืกาถึงดี
Academic Excellence
Variety of Educational Opportunities
Cutting-Edge Technology
Opportunity for Research, Teaching, and Training
Flexibility
Support Services for International Students
Campus Life
Global Education
การเตรียมตัวก่อนไปเรียนอเมริกา สิ่งที่จำเป็นคือ
1 เตรียมหาข้อมูลให้พร้อม เช่น รัฐที่จะไปมีอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายในการเรียน การอยู่อาศัยและอืนๆ
2 วางแผนการเรียนให้ดี เช่น เรียนกี่ปีจบ จบมาแล้วอยากทำอะไร โอกาสในการฝึกงาน
3 ทำความเข้าใจระบบการศึกษาของอเมริกัน เช่น การโต้ตอบในห้องเรียน การทำ presentation ในห้องเรียน การหาข้อมูลเพิ่มเติม
4 ฝึกฝนความสามารถทางภาษาอังกฤษ การฟัง การเขียน การพูด การอ่าน
สถานที่ดังต่อไปนี้คือที่ที่น้องสามารถไปหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียนประเทศอเมริกานะคะ
1 Institute of International Education หรือ สถาบันการศึกษานานาชาติ หรือ IIE (www.iiethai.org) พี่เคยทำงานทีนี่เป็นผู้แนะแนวการศึกษาอเมริกาค่ะ IIE เป็นของรัฐบาลอเมริกันนะคะ น้องโทรไปนัดได้เลยค่ะ หรือเข้าไปดูที่ website ที่ให้ไว้ IIE มีทุนการศึกษาแจกฟรีด้วยค่ะ เข้าไปอ่านดูนะคะ อ๋อ ลืมบอกว่าทุนที่แจกให้โดย East West Center, Asian Development Bank, IMF, and GE Foundation เป็นทุนให้เปล่านะคะไม่ต้องใช้ทุนคืนค่ะ
2 ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่
3 AUA Center
4 สำนักงาน ก.พ.
พี่ไม่ได้ให้รายชื่อพวกสำนักงานเอกชนต่างๆเพราะพวกนั้นชอบยุเด็กไปเรียนภาษาก่อนเพื่อนเอาเงิน Commission พี่ว่าไม่ค่อย fair กับเด็กเท่าไหร่ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ พี่ว่าไปหาข้อมูลด้วยตัวเองให้พร้อมดีกว่า IIE หรืแ AUA ก็ได้เพราะเค้ามีเอกสารแจกจากมหาวิทยาลัยเยอะมาก
แหล่งข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจค่ะ
Internet
www.educationusa.state.gov
www.studyusa.com
www.petersons.com
www.collegeboard.com
www.princetonreview.com
ต่อไปคือสิ่งที่น้องควรจะพิจารณานะคะในการเรียนต่ออเมริกา
Academic fields จะไปเรียนสาขาอะไร
Degrees เป็นปริญญาอะไร ตรี โท หรือ เอก
Location สถานที่ตั้ง
Total cost for your education ค่าใช้จ่ายในการเรียน
TOEFL , GRE, GMAT requirements คะแนนต่างๆที่มหาวิทยาลัยต้องการ
Accreditation มหาลัยที่จะไปเรียนได้รับการรับรองวิทยะฐานะหรือเปล่า
ขั้นตอนในการสมัครนะคะ
Complete application form กรอกใบสมัครให้เรียบร้อย
Educational documents หลักฐานการศึกษาต่างๆ
Transfer credit อันนี้กรณีที่เรียนอยู่แล้วอยากย้ายไปเรียนที่อื่นนะคะ
Statement of educational purpose/essay เรียงความค่ะ ไปหัดเขียนนะคะ
Evidence of English level proficiency คะแนน Toefl ค่ะหรือใบประกาศการเรียนภาษา
Letters of recommendation จดหมายรับรองค่ะ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่ประเทศอเมริกานะคะ
Tuitions and Fees แน่นอนค่าเทอมและค่าธรรมเนียม
Books and Supplies ค่าหนังสือ
Housing and Food ค่าที่พักและอาหาร ยิ่งอยู่เมืองใหญ่ยิ่งแพง
Personal Expenses ค่าใช้จ่ายส่วนตัวค่ะ
Medical Insurance ค่าประกันสุขภาพ อันนี้จำเป็นมากๆค่ะ
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างเอกชนกับรัฐบาลนะคะ
Estimated Average Cost
Private Public
High Low High Low
Tuition 29,000 13,000 15,000 7,000
Housing and Meals 8,500 4,500 7,500 4,500
Books & Supplies 1,500 1,200 1,500 1,000
Personal Expenses 8,500 4,500 7,000 3,500
Total expenses 47,500 23,200 31,000 16,000
ถ้าจะสอบ Toefl, GMAT, GRE และอื่นๆจากเมืองไทยก็ไปที่นี่เลยค่ะ
Testing Center
Institute of International Education (IIE)
6th Floor Maneeya Center North
Ploenchit Road, Pathumwan, BKK
Tel. 02-652-0653
www.iiethai.org
แต่การสอบที่บอกด้านบนต้องลงทะเบียนที่ For all academic examinations: TOEFL,GMAT, and GRE, please register at
www.prometric.com
ถ้าเป็นหมอต้องสอบ USMLE นะคะไปดูที่นี่เลยค่ะ
Foreign National Physicians who seek entry into U.S programs of graduate medical education or training must
Have passed Step 1 and Step 2 of the United States Medical Licensing Examination (USMLE). You can find information at
www.ecfmg.org (Educational Commission for Foreign Medical Graduates)
www.usmle.org
เรื่องวีซ่านะคะ
การขอวีซ่าเข้าสหรัฐสถานที่ : แผนกกงศุล สถานทูตสหรัฐ ฯ 95 ถนนวิทยุ วัน เวลา : วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 7.00 - 9.00 น.
ขั้นตอนการขอวีซ่า
กรอกใบคำร้องขอวีซ่า (ดีเอส-156, ดีเอส-157 และ ดีเอส-158) http://www.usa.or.th/services/visa/visa.htm
ค่าธรรมเนียม เทียบเท่า 100 เหรียญสหรัฐ ชำระ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่ง ในกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้นสาขาย่อย
ค่าธรรมเนียม 100 เหรียญสหรัฐ เรียกเก็บสำหรับโครงการวีซ่านักเรียน และนักเรียนแลกเปลี่ยน (SEVIS Fee)
ยื่นเอกสารพร้อมใบเสร็จที่ได้รับจากที่ทำการไปรษณีย์ และรับใบนัดรับวีซ่าที่ช่องหมายเลข 1 หรือ 2
เอกสารในการขอวีซ่า
1. ใบคำร้องที่กรอกทางอินเตอร์เนทและมีบาร์โค้ต
2. หนังสือเดินทาง - มีอายุใช้ได้อย่างน้อย 6 เดือนหลังจากวันที่ยื่น ขอวีซ่า
3. ภาพถ่ายขาว-ดำ หรือ ภาพสี 1 ภาพ ขนาด 2 นิ้ว x 2 นิ้ว
4. I-20/DS 2019
5. ใบแสดงผลการเรียนที่ผ่านมา (Transcript)
5. หลักฐานทางการเงิน - ควรยื่นแสดงเอกสารต้นฉบับเท่านั้น
6. หลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่า ผู้ขอจะกลับประเทศไทยหลังจากที่เรียนจบ
การรักษาสถานภาพของการเป็นนักเรียน
มี I-20 /DS 2019 ที่ได้จากมหาวิทยาลัย
ลงทะเบียนเรียนแบบเต็มเวลา
ถือพาสปอร์ตที่มีอายุอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป
ศึกษากฎเกณฑ์ของการทำงาน และการประกันสุขภาพ
ถ้าต้องย้ายสถานศึกษา/ขยายเวลาเรียน ควรศึกษากฏ และควรทำเรื่องให้เสร็จก่อนเปิดภาคเรียนการศึกษา
หวังว่าคงพอช่วยไขข้อข้องใจน้องได้บ้างนะคะ